นางฤชุกร สิริโยธิน รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา หนี้ในภาคครัวเรือนของประเทศอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและภาพรวมของเศรษฐกิจ ในระยะยาว ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตระหนักถึงความสําคัญต่อการดูแลหนี้ในภาคครัวเรือน ดังกล่าว จึงได้ดําเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุน โครงสร้างพื้นฐานในการแก้ปัญหาหนี้อย่างเป็นระบบภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และมีเจ้าหนี้หลายราย หรือ คลินิกแก้หนี้ขึ้น
ทั้งนี้ การปรับปรุงแนวทางการกํากับดูแลสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ ของ ธปท. เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยดูแลการก่อหนี้สินของภาคครัวเรือนให้เหมาะสมขึ้น เนื่องจากประชาชน เข้าถึงสินเชื่อประเภทนี้ได้ง่าย และเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน อาจส่งผลให้ประชาชนบางกลุ่มที่มีความเปราะบาง ก่อหนี้จนเกินความสามารถชําระหนี้ของตนได้
โดยมาตรการสินเชื่อบัตรเครดิต ได้กําหนดวงเงินแก่ผู้ขอมีบัตรให้เหมาะสมกับความสามารถ ในการชําระหนี้ตามรายได้ต่อเดือน โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท ให้ได้รับวงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ รายได้ตั้งแต่ 30,000 ถึง 50,000 บาท วงเงินไม่เกิน 3 เท่า และรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป วงเงินไม่เกิน 5 เท่า และได้ปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตลงเหลือร้อยละ 18 จากร้อยละ 20 ให้สอดคล้องกับ ภาวะเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบันที่ต้นทุนทางการเงินต่ำลง
ด้านมาตรการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ ได้ปรับวงเงินสินเชื่อแก่ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน วงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ และให้ได้รับวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลจากผู้ประกอบธุรกิจ สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับไม่เกิน 3 ราย สําหรับผู้มีรายได้ต่อเดือนเกิน 30,000 บาทขึ้นไป กําหนด วงเงินไม่เกิน 5 เท่า แต่ไม่จํากัดจํานวนผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับที่จะให้สินเชื่อแก่ ผู้บริโภคแต่ละราย โดยยังคงเพดานอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ จะเรียกเก็บได้ เพื่อให้สามารถให้บริการสินเชื่อแก่ผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้
อย่างไรก็ดี ธปท. ตระหนักถึงความจําเป็นที่ผู้บริโภคอาจต้องมีช่องทางเข้าถึงสินเชื่อในกรณีที่ มีเหตุการณ์จําเป็นฉุกเฉินที่สําคัญต่อการดํารงชีพ ธปท. จึงอนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับสามารถให้วงเงินชั่วคราวในกรณีดังกล่าวได้ และให้กําหนดการจ่ายชําระคืน ตามความสามารถในการชําระหนี้ของลูกหนี้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ แนวทางการกําหนดวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่กล่าวข้างต้นจะมี ผลใช้บังคับกับผู้ขอมีบัตรเครดิตหรือผู้ขอสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไป และสําหรับเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตก็มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กันยายน 2560 เช่นกัน โดยจะมีผลใช้บังคับ กับผู้มีบัตรเครดิตทั้งรายเดิมและรายใหม่
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการดูแลผู้บริโภค ธปท. ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อ ส่วนบุคคลภายใต้การกํากับต้องให้ทางเลือกแก่ผู้บริโภคในกรณีที่ไม่ต้องการให้ติดต่อเพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์ โดยต้องมีกระบวนการและดูแลให้เป็นไปตามความประสงค์ของลูกค้า รวมถึงในกรณีที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับ การเรียกเก็บเงินที่ผิดพลาดของบัตรเครดิต ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องให้สิทธิทางเลือกแก่ผู้ถือบัตรเครดิต ที่จะขอรับเงินคืนผ่านช่องทางอื่นนอกเหนือจากการคืนเงินเข้าบัญชีบัตรเครดิตด้วย
Source : ธนาคารแห่งประเทศไทย